เอสซีจีขายเก่ง4.5แสน ล.
ลุยทุ่ม6หมื่น ล.ลงทุนนอก
ระหว่างการนั่งแถลงข่าวผลประกอบในปี 2560 ของ 2 ผู้บริหารระดับสูงจากค่ายเอสซีจี ทั้งนายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ณ ฮอลล์ 1 อาคารเอนกประสงค์ ชั้น 10 เอสซีจี บางซื่อ ใหญ่ เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา
ดูเหมือนทั้งคู่จะระมัดระวังต่อการตอบคำถามของสื่อมวลชนที่เฝ้าติดตามข่าว โดยเฉพาะประเด็นการโยกเงินลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการปิโตรเคมีขนาดยักษ์ในเวียดนาม ที่ นายรุ่งโรจน์ พยายามจะไม่ให้ความกระจ่างมากนักต่อคำถามนี้ โดยชี้ประเด็นไปว่า…รอความชัดเจนอีก 1-2 เดือน ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าไซซ์ธุรกิจใหญ่ระดับนี้ การเจรจาคงไม่ง่าย และมีผู้เกี่ยวข้องมากมาย
ไม่ต่างจากโครงการลงทุนในอินโดนีเซีย ที่ต่อให้มีความชัดเจนมากแค่ไหน? พวกเขาก็คงจะไม่พูดกับสื่อมวลชน จนกว่าจะคุยเป็นการภายในองค์กร ทั้งกับฝ่ายบริหารระดับสูงและผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะสิ่งนี้…จะต้องแจ้งข้อมูลข้อเท็จจริงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะที่เป็นสมาชิกของบริษัทจดทะเบียน
กระนั้น ก็มีเสียงเล็ดรอดให้ได้ยินว่า ประเด็นที่พวกเขาเป็นห่วงต่อการถูกโจมตีจากฝ่ายที่ไม่ชอบพวกเขา และพยายามจะโยงให้เป็นประเด็นการเมือง นั่นคือ ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยกำลังง่อนแง่นจากการบริหารที่ไม่สู้จะมีประสิทธิภาพมากนักของรัฐบาล คสช. แทนที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่สัญชาติไทย อย่าง…เครือซีพี กลุ่มเบียร์ช้าง เครือเอสซีจี และอื่นๆ จะทุ่มเงินลงทุนในบ้านเกิด เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพใหญ่ รวมถึงสร้างงานสร้างรายได้กับแรงงานในประเทศ แต่พวกเขากลับขนกำไรและเงินทุนในประเทศ ไปสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับชาติเพื่อนบ้าน
นั่นจึงเป็นประเด็นของการตอบคำถามสื่อมวลชนที่ว่า…เอสซีจีไม่รู้สึกกังวลใจต่อประเด็นปัญหาทางการเมืองที่เริ่มก่อตัวให้เห็นถึงจุดสิ้นสุดความอดทนของฝ่ายที่ไม่พอใจ…คสช. และ รัฐบาล คสช. กระทั่ง อาจนำไปสู่จุดแตกหักในไม่ช้านี้ โดยที่ นายรุ่งโรจน์ ย้ำเพียงสั้นๆ ว่า…“ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาอะไรในทางการเมือง”
อย่างไรก็ดี ในแง่ของการดำเนินงานในยุคที่เศรษฐกิจไทยค่อนข้างซบเซา และเอสซีจีต้องประสบปัญหาการแข่งขันที่สูง ท่ามกลางต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็น…น้ำมัน วัตถุดิบ และอื่นๆ รวมถึงปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลต่อราคาสินค้า และยอดขาย โดยเฉพาะการส่งออกที่แพงกว่าคู่แข่งในเวทีโลก กระนั้น ผลการดำเนินงานของพวกเขาก็เติบโตอย่างน่าพอใจ โดยผลประกอบการปี 2560 นั้น เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 450,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 6% จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่มีผลกำไร 55,041 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 2% เนื่องจากสภาพการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ดังนั้น พวกเขาจึงเร่งปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะการสยายปีกลงทุนในต่างแดน
นายรุ่งโรจ ย้ำว่า ในปีนี้ เอสซีจีเตรียมงบลงทุน 60,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งจะใช้ในการลงทุนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในประเทศเวียดนาม และเพื่อหาโอกาสลงทุนในแหล่งใหม่ ทั้งนี่จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่คาดว่าเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ ทำให้ราคาปิโตรเคมี และเคมีภัณฑ์จะเพิ่มสูงตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้รายได้ปีนี้ทั้งปีคาดว่าจะโต 5-6% รวมทั้งเอสซีจีจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากการเข้าไปลงทุนในแหล่งอื่น ๆ ของภูมิภาคอาเซียน หรือในต่างประเทศ
ผู้บริหารทั้งสองของเอสซีจี ยังคงคาดการณ์ภาพรวมความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศปีนี้ โต 2-3% หลังจากปีที่ผ่านมาหดตัว 5% เนื่องจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมีให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น จนทำให้มีความต้องการใช้ปูนซิเมนต์เพิ่มมากขึ้นตาม ขณะที่การลงทุนของภาคเอกชนยังไม่เห็นความชัดเจนมากนักและคงต้องติดตามดูกันต่อไป.
ทีมข่าวเศรษฐกิจ
สำนักข่าว ThaiBCC.news
Social Links