โลกฟื้น!ส่งออก 60 พุ่ง
คาดปีหน้าโตแผ่ว 4.5%
………………………………………………………………………………………………..
การส่งออกสินค้าในเดือนพ.ย. 2560 เติบโตบนเลขสองหลักติดต่อกันเป็นเดือนที่ 7 หนุนมูลค่าส่งออกสินค้าในช่วง 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) ของปี 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 10.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยังได้อานิสงส์มาจากโมเมนตัมการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจและการค้าโลก เมื่อมองไปในปี 2561 แรงหนุนของการส่งออกในปี 2560 คาดว่าจะต่อเนื่องไปยังปี 2561 ทำให้การส่งออกสินค้าของไทยยังขยายตัวเป็นบวกได้อย่างต่อเนื่อง แต่จะผ่อนแรงลงตามปัจจัยฐานที่สูงในปี 2560 ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลง ตลอดจนวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่อนแรงลง ทำให้การส่งออกสินค้าของไทยในปี 2561 ชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.5 YoY (หรือในช่วงกรอบประมาณการที่ร้อยละ 2.0-7.0)
……….…………………………………………………………………………………………………..
การส่งออกสินค้าไทยในเดือนพ.ย. 2560 โตดีจากผลของหลายปัจจัยบวกปะปน
มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในเดือนพ.ย. อยู่ที่ 21,435 ล้านดอลลาร์ฯ ขยายตัวที่ร้อยละ 13.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แตะระดับ 20,000 ล้านดอลลาร์ฯ ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และเติบโตบนเลขสองหลักต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 โดยการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวสูงในเดือนพ.ย. นี้ ส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากการขยายตัวของการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับปิโตรเลียม (ยางพารา ผลิตภัณฑ์ยาง เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และน้ำมันสำเร็จรูป) ที่สูงถึงร้อยละ 25.6 YoY ซึ่งเมื่อหักรายการสินค้าส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับปิโตรเลียมแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในเดือนพ.ย. 2560 ขยายตัวที่ร้อยละ 11.2 YoY
ปัจจัยชั่วคราวช่วยหนุนการส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญอย่างข้าวและน้ำตาลในเดือนพ.ย. 2560 ให้ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดที่ร้อยละ 49.7 และร้อยละ 28.4 YoY ตามลำดับ โดยการส่งออกข้าวที่ขยายตัวดีเป็นผลมาจาก (1) การขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี: G2G – Government to government deal) กับบังกลาเทศ ส่งผลให้บังกลาเทศกลายมาเป็นประเทศคู่ค้าข้าวอันดับ 1 ของไทยในเดือนพ.ย. 2560 (2) ผลจากการที่กระทรวงพาณิชย์ให้ความสนับสนุนแก่ภาคเอกชนที่มีเป้าหมายการส่งออกข้าวไปยังภูมิภาคแอฟริกา ซึ่งช่วยหนุนให้การส่งออกข้าวไปเบนิน แอฟริกาใต้ อังโกลา แคเมอรูน โมซัมบิก และคองโก เติบโตได้สูงถึงร้อยละ 152.6, ร้อยละ 140.5, ร้อยละ 42.1, ร้อยละ 26.2, ร้อยละ 412.0 และร้อยละ 363.0 YoY ตามลำดับ ในส่วนของการส่งออกน้ำตาลทรายและกากน้ำตาลที่พลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกสูงถึงร้อยละ 28.6 YoY ในเดือนพ.ย. 2560 นั้นเป็นผลมาจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นมากถึงร้อยละ 1,218.2 YoY ของอินโดนีเซีย อย่างไรก็ดี การนำเข้าน้ำตาลจากไทยของอินโดนีเซียนั้นเพิ่มขึ้นและลดลงตามนโยบายการค้าและความเพียงพอของอุปทานภายในประเทศอินโดนีเซียเป็นสำคัญ
โมเมนตัมการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลกยังช่วยหนุนความต้องการสินค้าไทยให้ขยายตัวดี โดยเฉพาะสินค้าในหมวดอาหาร ไม่ว่าจะเป็นไก่แปรรูป อาหารทะเลกระป๋อง รวมถึงผัก ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง กระป๋อง และแปรรูป ให้เติบโตดีในเดือนพ.ย. 2560
วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ กระแส IoTs และการวางแผนเปิดตัวการให้บริการเครือข่ายการสื่อสารใหม่ของบริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น ช่วยผลักดันการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ให้ขยายตัวได้สูงถึงร้อยละ 23.4 YoY โดยการส่งออกสินค้าในหมวดเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบไปญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 397.3 YoY
โดยรวมแล้ว การส่งออกสินค้าของไทยตลอดทั้งปี 2560 ได้แรงสนับสนุนหลักมาจาก (1) โมเมนตัมการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก (2) วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และกระแสอุปกรณ์อัจฉริยะ (IoTs: Internet of Things) รวมถึง (3) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมันให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม โดยสินค้าที่การส่งออกขยายตัวได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับปิโตรเลียม สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงไก่สด แช่แข็ง และแปรรูป
เมื่อมองไปในช่วงปี 2561 โมเมนตัมการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจและการค้าโลกคาดว่าจะยังเป็นแรงสนับสนุนหลักของการส่งออกสินค้าของไทยในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ทิศทางการส่งออกสินค้าไทยในปี 2561 แม้จะขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง แต่จะผ่อนแรงลงจากปี 2560 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 9.0-10.0 YoY มาอยู่ที่ร้อยละ 4.5 YoY (ช่วงกรอบประมาณการที่ร้อยละ 2.0-7.0) โดยมีเหตุสนับสนุน ดังนี้
ผลทางด้านราคาน้ำมันดิบต่อการส่งออกสินค้าของไทยคาดว่าจะอ่อนแรงลงในปี 2561 จากอัตราการขยายตัวของราคาน้ำมันดิบที่ชะลอลง โดยทิศทางราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 2561 คาดว่าจะเคลื่อนไหวในช่วง 52-60 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่เฉลี่ยอยู่ที่ 52 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล หรือราวร้อยละ 5 แตกต่างจากปี 2560 ที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปรับขึ้นประมาณร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 41.3 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล
วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าจะแผ่วลงในปี 2561 หลังจากในปี 2560 เร่งตัวไปมาก โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า ในปี 2561 มูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงมาอยู่ในช่วงกรอบร้อยละ 2.3-4.4 จากปีก่อนหน้าที่ช่วง 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 10.7 YoY
การส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรจำพวกสินค้าโภคภัณฑ์คาดว่าจะชะลอลงในปี 2561 จากแรงกดดันทางด้านราคาในตลาดโลกตามปริมาณผลผลิตส่วนเกินในปีหน้า อาทิ น้ำตาล ยางพารา
ฐานเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกโดยรวมที่สูงในปี 2560 จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การส่งออกในปี 2560 แผ่วลง
นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัจจัยทางด้านภาษีการค้าระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ที่คาดว่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการส่งออกในปี 2561 ไม่ว่าจะเป็น
1. ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA: ASEAN-China Free Trade Area) ที่ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2561 การส่งออกสินค้าอ่อนไหว (Sensitive lists) ที่อยู่ในความตกลง ACFTA จะมีอัตราภาษีศุลกากรลดลงมาอยู่ในช่วงร้อยละ 0-5 (จากเดิมที่มีภาษีไม่เกินร้อยละ 20) ซึ่งคาดว่าจะทำให้สินค้าไทยมีโอกาสทำตลาดในจีนได้เพิ่มขึ้น โดยสินค้าอ่อนไหวที่จีนลดภาษีนำเข้าให้อาเซียน ได้แก่ กาแฟ ปลายข้าว น้ำสับปะรด น้ำลำไย น้ำมะพร้าว ยาสูบ ไม้อัด กระดาษ/กระดาษแข็ง ผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิง ขนสัตว์ ฝ้าย เฟอร์นิเจอร์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
2. มาตรการลดภาษีการส่งออก (Export Tariffs) ของจีนในปี 2561 ที่คาดว่าจะช่วงสนับสนุนการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขั้นกลางของไทยไปจีนในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2560 ทางการจีนได้ประกาศว่า ในปี 2561 จะมีการปรับลดภาษีส่งออกในสินค้าหลายกลุ่มเพื่อกระตุ้นการส่งออกและอุตสาหกรรมในประเทศของจีน โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT: Information Technology) ที่คาดว่าจะเริ่มมีการลดภาษีการส่งออกตั้งแต่ 1 ก.ค. 2561 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะทำให้ผู้ผลิตจีนมีการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางสำหรับการผลิตสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มขึ้น จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ไทยไปจีนในระยะข้างหน้า
3. การยกเลิกโควต้าการนำเข้าข้าวและหันมาเก็บภาษีนำเข้าข้าวในอัตราร้อยละ 35 แทนของฟิลิปปินส์ เพื่อหนุนให้ภาคเอกชนมีการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาข้าวภายในประเทศมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งการยกเลิกการกำหนดโควต้าการนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสของการส่งออกข้าวไทยไปฟิลิปปินส์ในระยะข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามปัจจัยด้านความผันผวนของราคาน้ำมันดิบที่จะส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกที่เกี่ยวเนื่องกับราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทที่อาจจะได้รับความผันผวนจากการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักของโลกที่มีทิศทางตึงตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนทั่วโลก
Social Links